ย้อนกลับ …..
Ο ประการสุดท้าย เป็นหลักธรรมสูงสุด ได้แก่ อนัตตา คือความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คนส่วนใหญ่คงจะค้านหัวชนฝาเลยว่าไม่มีตัวตนนั้น เป็นไปได้อย่างไร แล้วที่พูดอยู่นี้ ฟังอยู่นี้ใครล่ะ ถ้าไม่ใช่ตัวตนแล้วคืออะไร แท้จริงแล้ว สังขารคือของสมมติชั่วคราว เป็นของที่ยืมมาจากธรรมชาติทั้งนั้น สิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิตทั้งหลาย ล้วนเป็นเพียงธาตุที่ประชุมรวมกันเท่านั้น ธาตุในทางวิทยาศาสตร์มีอยู่ไม่น้อยกว่า 105 ธาตุ แต่ในทางพุทธศาสนา ท่านรวมสรุปเป็น 4 ประเภท คือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรที่เป็นของแข็งจัดเป็นดิน ของเหลวจัดเป็นน้ำ พวกก๊าซ อากาศ จัดเป็นลม อะไรที่เป็นอุณหภูมิ จัดเป็นไฟ เพราะฉะนั้นร่างกายของเราเกิดขึ้นมาจากธาตุ 4 จากเด็กเล็ก ๆ จนโตมาขนาดนี้ โตมาด้วยอาหารทั้งนั้น ถ้าเราไม่กินเข้าไปก็ไม่โตขนาดนี้ ไม่มีชีวิตถึงทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น เรายืมเขามา พอตายแล้วเป็นไง เอาไปเผาบ้าง ฝังบ้าง มันก็คืนสู่ดิน คืนสู่ธรรมชาติ มันเป็นของยืมมา เหมือนอย่างรถ ตรงไหนคือรถ พวงมาลัย หลังคา เบาะ ตัวถัง เครื่องยนต์ ฯลฯ หรือว่าส่วนไหน ชี้ซิส่วนไหนคือรถ แต่ละส่วนไม่ใช่รถแต่ประกอบกัน จึงสมมติเรียกว่ารถ แยกออกไป ถอดชิ้นส่วนออกให้หมด ความเป็นรถก็ไม่มีแล้ว ตัวเราก็เหมือนกัน หูรึคือเรา จมูก ฟัน ปาก หัวใจ ตับ ไต ไส้ แยกมาดู ความเป็นตัวเราไม่มี ประกอบกันเข้าจึงสมมติว่าเป็นคนชื่อนี้ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ตัวตนที่แท้จริงจึงไม่มี ที่เราทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะตัวตน เพราะว่าเราบำรุงบำเรอตัวตนทั้งนั้น อยากได้ของเย็น อยากได้ของอร่อย อยากได้สัมผัสที่อ่อนนุ่ม อยากได้เสียงที่ไพเราะ ล้วนอ้างอิงกับตัวตน ตัวเราอยากได้ แต่ถ้าเราละความเป็นตัวตนได้ก็สบายไปเยอะ แบบไหนก็สุขได้ มันล้วนเป็นสิ่งธรรมชาติทั้งนั้นเลย จะร้อนจะเย็นเป็นเพียงความรู้สึก จะอิ่มไม่อิ่ม จะอร่อยไม่อร่อย แยกกันที่ลิ้นที่รสชาติ เราไปยึดถือมันเพราะตัวตนเท่านั้นเอง ใครจะตายตั้งร้อย พัน หมื่น เราไม่รู้สึก แต่พอเติมคำว่า “ของเรา” เข้ามาปุ๊บ เดือดร้อนเลย ของใครหายไม่รู้สึกเท่าไร พอของเราขึ้นมาละก็เดือดร้อนเลย ขออภัยบิดาใครเสียไปนี่ ก็เออเสียใจด้วยนะ แต่พอบอกบิดาของเราอยู่ไม่ติดเลย เต้นผางเลย ทำงานไม่ได้เลย แฟนใครไปไหนไม่เดือดร้อน แฟนเราขึ้นมาเนี่ย โอ้โห! นั่งไม่ติดนะ ก็เพราะคำว่าของเรานี่เอง แท้จริงแล้ว ตัวเราไม่มี เมื่อตัวเราไม่มีแล้ว ของเราจะมาจากที่ไหน ใครที่มานินทาเรา มาทำให้เสียหน้า เสียอะไรอย่างนี้ หน้ามันจะมีจากไหน มันไม่มี ตัวตนมันไม่มี เท่านี้ก็จบ ใครด่าใครก็เป็นทุกข์ ใครพูดคำหยาบก็บาปไป เราไม่โกรธเราก็ไม่เป็นทุกข์ เราไม่พูดคำหยาบเราก็ไม่บาป
เพราะฉะนั้น ขอให้เข้าใจไตรลักษณ์ ถ้าเข้าใจตรงนี้แล้ว ถึงยังไม่หมดกิเลสก็เป็นทุกข์น้อย ทุกข์อยู่แต่ทุกข์น้อย ๆ มีคำกล่าวว่า นกไม่เห็นฟ้า ปลาไม่เห็นน้ำ มนุษย์อยู่ในโลก แต่ไม่รู้จักโลก บัดนี้เรามีตาแล้ว มีทั้งตาเนื้อ และตาในคือปัญญา บัดนี้เราจะเป็นผู้ที่ไม่หลงโลก รู้จักโลก ก็จะไม่ต้องเต้นไปตามกิเลสต่างๆ แม้ยังอยู่ในโลก เราก็จะเป็นผู้สงบ คือ ภายนอกเคลื่อนไหวแต่ภายในนั้นสงบ ให้ใช้หลักที่ว่า “กอบัวเกิดจากโคลนและอาศัยน้ำ แต่โคลนและน้ำไม่สามารถแปดเปื้อนดอกบัวได้” เราเกิดและอาศัยอยู่ในโลกที่ เต็มไปด้วยทุกข์ เต็มไปด้วยกิเลส เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย แต่เราไม่ทุกข์เราไม่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส เราไม่สับสน เราไม่วุ่นวาย เหมือนที่ยสกุลบุตรเดินไปบ่นไปว่า “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า “ที่นี่ไม่วุ่นวายหนอ ที่นี่ไม่ขัดข้องหนอ” เชิญมาทางนี้ เมื่ออ่านธรรมบรรยายนี้จบแล้ว อาตมาขอเชิญชวนให้ท่านทั้งหลาย อยู่อย่างสุขสงบท่ามกลางโลกที่วุ่นวายนี้เถิด
ที่มา : พระอาจารย์มหาคารม อุตฺตมปญฺโญ (นธ.เอก, ป.ธ.๔, พธ.บ., ศศ.บ., กศ.ม.) ผู้ก่อตั้งชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2547) ผู้ก่อตั้งมูลนิธิสุวรรณโคมคำ(พ.ศ.2548) และสร้างทำธรรมสถานสุวรรณาภา. (พิมพ์ครั้งที่2 พ.ศ.2552). ธรรมะชนะชาตา. กรุงเทพฯ. อินเตอร์ พริ้นท์.