ปฐมาจารย์เกษตรเพชร (นามเดิมท่านคือ พระมหาคารม อุตตะมะปัญโญ) ได้รับการประสิทธิ์ถ่ายทอดวิชชาสุวรรณโคมคำจากพระอาจารย์ใหญ่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ปฐมาจารย์เกษตรเพชรเมื่อได้รับวิชชานี้มาแล้ว ได้นำมาทบทวน ศึกษา พัฒนาและเรียบเรียง อีกทั้งทดสอบวิชชาร้อยคร้งพันครั้งหมื่นครั้งจนเป็นที่แน่ใจว่าวิชชานี้เป็นของเก่าของเดิมจริงและใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริงและสอดคล้องกับหลักพระพุทธศาสนา และใช้พิสูจน์กฎแห่งกรรมได้อย่างดียิ่ง
สมัยเรียนปริญญาเอกปฐมาจารย์เกษตรเพชร ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่องปฐวีกสิณ ท่านเป็นผู้มีความสามารถทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติ และใช้ให้เกิดคุณได้จริง จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าปฐมาจารย์เกษตรเพชร ได้เป็นผู้รอบรู้ในปฐวีกสิณอย่างเอกอุมากท่านหนึ่งในสายสุวรรณโคมคำ
ท่านได้สอนธรรมะ สอนกสิณกรรมฐาน ฯลฯ ควบคู่ในวิชชาสุวรรณโคมคำ (สมมติจักรวิทยา) ตามปณิธานของพระมหาเถระศรีศรัทธาจุฬามณีลงกาทีปมหาสวามี ผู้เป็นบูรพาจารย์องค์สำคัญในการสืบทอดวิชชาสุวรรณโคมคำ (สมมติจักรวิทยา) นี้ ปฐมาจารย์เกษตรเพชร ได้เรียบเรียงสิ่งต่างๆ ในสุวรรณโคมคำขึ้นใหม่ให้สมบูรณ์อีกครั้ง ภายใต้หนังสือเรียนเล่มแรกของชาวสุวรรณโคมคำในยุคนี้ ชื่อว่า สัตตาภิธรรมเบื้องต้น คัมภีร์สุวรรณโคมคำ โดยใช้นามปากกาว่า “ธัมมเสนา”
……หลังจากปฐมาจารย์เกษตรเพชรได้เรียนรู้จากพระอาจารย์ใหญ่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ แล้ว ถัดขึ้นไปเพียงปีเดียวเท่านั้น ปฐมาจารย์เกษตรเพชรก็ได้วิชชาเก่ากลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งท่านได้ประสงค์ที่จะถ่ายทอดวิชชาให้สืบทอดต่อไป ในปี พ.ศ.๒๕๔๖ ท่านจึงได้เริ่มเปิดสอนวิชชาสุวรรณโคมคำ (สมมติจักรวิทยา) และต่อมาท่านได้ก่อตั้ง ชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำขึ้นในปี ๒๕๔๗ จึงเห็นได้ว่าชมรมศิษย์สุวรรณโคมคำถูกจัดตั้งขึ้นโดยปฐมาจารย์เกษตรเพชร นับได้ว่า วิชชาสัตตาภิธรรมได้ถูกพลิกฟื้นให้ถือกำเนิดอีกครั้ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อมหาชนรุ่นหลังต่อไป
ต่อมาในปี ๒๕๔๗ มีผู้ศรัทธาถวายที่ดินแปลงหนึ่งใน จ.พิษณุโลกแก่ท่าน ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ธรรมสถานสุวรรณาภา อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก ท่านจึงจัดตั้งมูลนิธิฯ ขึ้นเพื่อรองรับแผ่นดินสุวรรณโคมคำ จ.พิษณุโลกนี้
มูลนิธิสุวรรณโคมคำ จึงถูกตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๕๔๘ ด้วยความวิริยะอุตสาหะของปฐมาจารย์เกษตรเพชรที่เดินทางขึ้นลงกรุงเทพ-พิษณุโลก เพื่อพลิกฟื้นพัฒนาแผ่นดินที่เป้นผืนหญ้าป่ารกไกลปืนเที่ยงนั้นให้อุดมสมบูรณ์ (เกษตรอินทรีย์ตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง) เป็นรูปธรรมชันเจนจนราชการอนุมัติให้เป็นสถานปฏิบัติธรรมของมูลนิธิฯ อย่างเป็นทางการได้ ทั้งนี้ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องถึง ๔ ปี โดยไม่ใช้สารเคมี